วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

การปลูกคะน้า

การปลูกคะน้า

          ผักคะน้า มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปเอเชียและปลูกกันมากในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทย คะน้าเป็นผักที่นิยมปลูกและบริโภคกันมา โดยปลูกเพื่อบริโภคส่วนของใบและลำต้น อายุตั้งแต่หว่านหรือหยอดเมล็ดจนถึงเก็บเกี่ยวประมาณ 45-55 วัน ผักคะน้าเป็นผักสวนครัวที่สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี แต่ช่วงเวลาที่ปลูกได้ผลดี ที่สุดอยู่ในช่วงเดือนตุลาคมถึงเมษายน
การเพาะกล้า
         1. การเตรียมแปลงเพาะ แปลงเพาะกล้าควรมีขนาดกว้าง 1 เมตร ส่วนความยาวตามความเหมาะสม
         2. การเตรียมดินบนแปลงเพาะกล้า ควรขุดไถพรวนดินอย่างดี ตากดินไว้ประมาณ 5-7 วัน ย่อยหน้าดิน ให้ละเอียด แล้วใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้วให้มาก คลุกเคล้าให้เข้ากับดินให้ทั่ว
         3. การเพาะ หว่านเมล็ดให้กระจายสม่ำเสมอทั่วแปลง กลบเมล็ดด้วยดินหรือปุ๋ยคอกที่สลายตัวดีแล้วให้หนาประมาณ 0.6-1 เซนติเมตร คลุมด้วยฟางหรือหญ้าแห้งบางๆ รดน้ำให้ชุ่มด้วยบัวรดน้ำ
         4. การดูแลต้นกล้า ต้นกล้าจะงอกภายใน 7 วัน ควรดูแลต้นกล้า ถอนต้นที่อ่อนแอ ไม่แข็งแรง หรือเบียดกันแน่นทิ้งไป ผสมสารละลายสตาร์ทเตอร์โวลูชั่นในน้ำแล้วนำไปรด เพื่อให้ต้นกล้าแข็งแรงสมบูรณ์ ดูแลป้องกันโรคแมลงที่เกิดขึ้น เมื่อต้นกล้ามีอายุประมาณ 25-30 วัน จึงทำการย้ายไปปลูกในแปลงปลูกต่อไป
วิธีการปลูก
         การปลูกคะน้านิยมปลูก 2 แบบ คือ 
         1. แบบหว่านกระจายทั่วแปลง เหมาะสำหรับแปลงปลูกขนาดใหญ่ ทำเป็นการค้า 
         2. แบบแถวเดียว เหมาะสำหรับแปลงปลูกขนาดเล็กหรือผักสวนครัว เตรียมดินโดยการใช้แรงงานคนให้น้ำโดยใช้บัวรดน้ำ
         ระยะปลูก ควรให้มีระยะปลูกระหว่างต้นและระหว่างแถวประมาณ 20 X 20 เซนติเมตร
         การเตรียมแปลงปลูก มีวิธีการดังนี้
         1. ขุดดินให้ลึกประมาณ 15-20 เซนติเมตร
         2. ตากดินทิ้งไว้ประมาณ 7-10 วัน
         3. นำปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้วมาใส่ คลุกเคล้าให้เข้ากับดินเป็นการปรับปรุงสภาพทางกายภาพและเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน
         4. พรวนย่อยหน้าดินให้มีขนาดเล็ก โดยเฉพาะการปลูกแบบหว่านลงในแปลง เพื่อไม่ให้เมล็ดตกลงไปในดิน เพราะจะไม่งอกหรืองอกยากมาก
         5. ถ้าดินเป็นกรดควรใส่ปูนขาวเพื่อปรับปรุงดินให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสม
         ในการปลูกคะน้านิยมหว่านเมล็ดลงบนแปลงปลูกโดยตรงมากกว่าย้ายกล้า โดยมีขั้นตอนดังนี้
         1. หว่านเมล็ดให้กระจายทั่วทั้งผิวแปลงโดยให้เมล็ดห่างกันประมาณ 2-3 เซนติเมตร
         2. ใช้ดินผสมหรือปุ๋ยคอกที่สลายตัวดีแล้วหว่านกลบเมล็ดให้หนาประมาณ 0.6-1 เซนติเมตร เพื่อเก็บรักษาความชื้นและป้องกันเมล็ดถูกน้ำกระแทกกระจาย
         3. คลุมด้วยฟางหรือหญ้าแห้งบางๆ
         4. รดน้ำให้ทั่วถึงและสม่ำเสมอ ต้นกล้าจะงอกภายใน 7 วัน
         5. หลังจากต้นคะน้างอกแล้วประมาณ 20 วัน หรือต้นสูงประมาณ 10 เซนติเมตร ให้เริ่มถอนแยก โดยเลือกต้นที่ไม่สมบูรณ์ออก ทิ้งระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 10 เซนติเมตร ต้นอ่อนของคะน้าที่ถอนแยกออกมาในวัยนี้เมื่อเด็ดรากออกแล้วส่งขายตลาดเป็นยอดผักได้
         6. เมื่อคะน้ามีอายุประมาณ 30 วัน ให้ถอนแยกครั้งที่ 2 ให้เหลือระยะห่างระหว่างต้น 20 เซนติเมตรต้นอ่อนของคะน้าที่ถอนแยกออกมาในวัยนี้เมื่อเด็ดรากออก แล้วส่งขายตลาดเป็นยอดผักได้
         7. ในการถอนแยกคะน้าแต่ละครั้งควรกำจัดวัชพืชไปด้วย
การให้น้ำ

         1. คะน้าต้องการน้ำอย่างเพียงพอและสม่ำเสมอ เนื่องจากมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ดังนั้นควรปลูกในแหล่งที่มีน้ำอย่างเพียงพอ
         2. การให้น้ำให้ใช้ฝักบัวฝอยรดให้ทั่วและให้ชุ่ม ในเวลาเช้าและเย็น
การใส่ปุ๋ย

         คะน้าต้องการปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจนสูง อาจใส่ปุ๋ยสูตร 12-8-8 หรือ 20-11-11 ในอัตราประมาณ 100 กิโลกรัมต่อไร่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดินและปริมาณปุ๋ยคอกที่ใช้โดยแบ่งใส่ 2 ครั้ง คือ หลังจากถอนแยกครั้งแรกและหลังจากถอนแยกครั้งที่ 2

การเก็บเกี่ยวผลผลิต
         อายุการเก็บเกี่ยวของคะน้าอยู่ที่ประมาณ 45-55 วันหลังปลูก คะน้าที่ตลาดต้องการมากที่สุดคือ คะน้าที่มีอายุ 45 วัน แต่คะน้าที่มีอายุ 50-55 วัน เป็นระยะที่เก็บเกี่ยวได้น้ำหนักมากกว่า วิธีการเก็บเกี่ยวคะน้าทำได้ดังนี้
         1. ใช้มีดคมๆ ตัดให้ชิดโคนต้น
         2. ตัดไล่เป็นหน้ากระดานไปตลอดทั้งแปลง 
         3. หลังตัดแล้วบางแห่งมัดด้วยเชือกกล้วยมัดละ 5 กิโลกรัม บางแห่งก็บรรจุเข่ง แล้วแต่ความสะดวกในการขนส่ง
         การเก็บเกี่ยวคะน้าให้ได้คุณภาพดี รสชาติดี และสะอาด ควรปฏิบัติดังนี้ 
         1. เก็บในเวลาเช้าดีกว่าเวลาบ่าย
         2. ใช้มีดเล็กๆ ตัด อย่าเก็บหรือเด็ดด้วยมือ
         3. อย่าปล่อยให้ผักแก่เกินไป
         4. หลังเก็บเกี่ยวเสร็จควรนำผักเข้าที่ร่ม วางในที่โปร่งและอากาศเย็น
         5. ภาชนะที่บรรจุผักควรสะอาด 

วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

อาชีพนักบิน


อาชีพนักบินก็เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่ใครๆก็ฝันอยากจะเป็นซึ่ง
การจะเป็นนักบินได้ จะต้องมีความรับผิดชอบสูง มีสติ และทนต่อความเครียดได้เป็นอย่างดี รวมทั้งต้องใส่ใจความปลอดภัยขอ
งผู้โดยสารเป็นที่หนึ่ง เพราะทุกชีวิตจะขึ้นอยู่กับการควบคุมของนักบิน 

เรามารู้ลึก รู้จริงกันดีกว่าว่านักบินเค้าทำงานกันอย่างไร
การทำงานของนักบิน

นักบินจะใช้เวลาการทำงานตามกฎหมายแรงงานและกฎของสถาบันอากาศยานโลก นักบินจำเป็นต้องทำงานในอากาศบนที่สูง แต่เดิมเครื่องบินได้ออกแบบโดยให้เครื่องยนต์บังคับการบิน ทำให้อาชีพนักบินเป็นอาชีพที่เสี่ยงต่ออันตรายอาชีพหนึ่ง ในปัจจุบันได้ออกแบบเครื่องบินให้ทุกอย่างควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ และมีระบบควบคุมการบินที่ปลอดภัย ทำให้อัตราการเสี่ยงในปัญหาเครื่องยนต์ลดลง
ในการเดินทางนักบินจะทราบตารางการเดินทางล่วงหน้าเป็นเวลา 1 เดือน นักบินต้องรับผิดชอบชีวิตผู้โดยสารในระหว่างทำการบินอัตราการเสี่ยงจะสูงมากเมื่ออยู่ระหว่างการบิน หรือการบินขึ้นและลงในสภาพอากาศที่ไม่ปกติ รวมทั้งการที่ต้องขับเครื่องบินในเส้นทางระยะยาวใช้เวลานาน อาจจะทำให้ นักบินมีความเครียดและความเมื่อยล้าจากการบินได้ ในระหว่างการบินระยะยาว นักบินมีโอกาสพักผ่อนเป็นครั้งคราว เนื่องจากมีผู้ช่วยนักบินปฏิบัติงานร่วมด้วยอย่างน้อย 1 คน

^v^'' คุณสมบัติของผู้ที่อยากจะเป็นนักบิน ^3^


เนื่องจากนักบินเป็นผู้ขับเครื่องบินให้ไปสู่จุดหมายปลายทางของผู้โดยสารหรือสินค้าที่อยู่ในเครื่องบินซึ่งจะไปถึงที่หมายปลายทางได้หรือไม่นั้น นักบินจะต้องเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ฉะนั้น ผู้ประกอบอาชีพด้านนี้ จึงควรมีคุณสมบัติ ดังนี้
1. สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี โดยมีหลักสูตรทาง วิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ หรือคอมพิวเตอร์
2. ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้ดี ควรมีความรู้ทางด้านคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ดีพอสมควร เพื่อใช้ในการศึกษา และใช้ในการปฏิบัติงาน
3. รูปร่าง บุคลิกดี มีความสูงไม่น้อยกว่า 165 ซ.ม. มีมนุษยสัมพันธ์ดี มีปฏิภาณไหวพริบดี มีสำนึกในความปลอดภัย และมีความสามารถเป็นทั้งผู้นำและผู้ตาม
4. มีความรับผิดชอบต่อตนเอง และผู้อื่นสูง มีความกล้าหาญ และมีความสามารถในการตัดสินใจและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างถูกต้อง และรวดเร็ว
5. มีความมั่นใจในตนเอง ละเอียดรอบคอบ มีความจำดี ช่างสังเกต
6. อายุไม่เกิน 38 ปี ไม่สายตาสั้น และต้องไม่ตาบอดสี
7. ในการสอบสัมภาษณ์มีทั้งการสอบภาษาไทย และสอบเชาว์ปัญญา (Aptitude Test)และมีการสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษโดยผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ผู้สมัครควรมีความรู้ภาษาอังกฤษดี และมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ด้วย
8. ในการขับเครื่องบิน ต้องได้รับใบอนุญาตการบิน (Pilot License) รวมทั้งต้องผ่านการตรวจ ร่างกาย และทดสอบทางจิตเวชจากสถาบันเวชศาสตร์การบิน

ผู้ประกอบอาชีพนี้นอกจากจะมีคุณสมบัติ ดังที่กล่าวมาแล้ว ควรเตรียมตัวเพื่อเข้าเรียน หลังจากผ่านการสอบคัดเลือกตำแหน่งตามเงื่อนไข คือจะถูกส่งเข้าศึกษาต่อหลักสูตรการบินในสถาบันการบินพลเรือนซึ่งเป็นสถาบันที่ใช้เป็นสำนักงานบริหารและฝึกวิชากิจการบินภาคพื้นดิน




ทีนี้ เรามาดูกันซิว่า อาชีพนักบินสามารถทำงานที่ไหนบ้าง???

อาชีพนักบินสามารถรับราชการเป็นนักบินของหน่วยราชการต่างๆ เช่น กองบินสำนักงานตำรวจ แห่งชาติ สำนักฝนหลวง และการบินเกษตร หรือสายการบินเอกชนต่างๆ เช่น บริษัทการบินไทย บริษัทบางกอกแอร์เวย์ ซึ่งยังมีความต้องการพนักงานในตำแหน่งนี้ยังมีมากแต่การคัดเลือกบุคลากรที่เหมาะสม รวมทั้งการสอน และอบรมในการบินสามารถรับได้ครั้งไม่มากจึงจัดว่าเป็นอาชีพที่ขาดแคลน

สถาบันที่จะฝึกนักบินในประเทศไทยนั้นมีจำนวนน้อยมาก และส่วนใหญ่จะฝึกให้หน่วยงานราชการ เพื่อใช้ในหน่วยงานของตนเอง แต่ถ้าหน่วยงานใดองค์การใดที่ต้องการนักบิน และไม่สามารถที่จะฝึกอบรมด้วยตนเองได้ก็จะส่งบุคคลในหน่วยงานของตนนั้นมาทำการฝึกที่สถาบันการบินพลเรือนในประเทศไทย ฉะนั้นผู้ที่จบการศึกษาแล้ว ส่วนใหญ่จึงกลับเข้าทำงานในหน่วยงานเดิมของตนที่ส่งมาฝึกอบรม แต่ถ้าเป็นนักศึกษาที่เรียนโดยทุนส่วนตัว เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วก็จะทำงานเป็นนักบินในบริษัทสายการบินต่างๆ ซึ่งจะได้รับเงินเดือนสูงมากผู้ที่ประกอบอาชีพนักบินมักจะเป็นชาย ในปัจจุบันประเทศไทยมีนักบินอาชีพที่เป็น ผู้หญิงทำงานในบริษัท บางกอกแอร์เวย์ และบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย แต่สำหรับบริษัทการบินไทย ยังไม่มีนักบินอาชีพที่เป็นผู้หญิง

ผู้ที่ประกอบอาชีพนักบินสามารถเข้าสมัครงานในภาคราชการหรือภาคเอกชนที่ประกาศรับสมัครโดยต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ และเมื่อผ่านการคัดเลือกแล้วจะต้องเข้ารับการอบรมการบินจากสถาบันฝึกการบินพลเรือนโดยเมื่อจบการอบรมก็จะได้รับบรรจุเข้าเป็นนักบินประจำหน่วยงานนั้น  ยกเว้นนักบินของกองทัพอากาศ ซึ่งจะต้องเรียนโรงเรียนนายเรืออากาศและสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนการบินของกองทัพอากาศซึ่งจะมีหลักสูตรการบินที่เกี่ยวกับการทหารไม่ใช่การบินเชิงพาณิชย์สำหรับนักบินทั่วไป เมื่อจบหลักสูตรจึงจะได้บรรจุเป็นทหารสัญญาบัตรเหล่านักบิน และได้รับการบรรจุเข้าประจำฝูงบินต่างๆ หรือบรรจุเข้ารับราชการตามกรมกองต่างๆ 

2012วันสิ้นโลกจริงหรือ ?


2012 วันสิ้นโลก 2012

2012 วันสิ้นโลก 2012

สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม

          กระแสข่าวลือในโลกอินเทอร์เน็ต ผ่านอีเมล์ลูกโซ่ เกี่ยวกับวันโลกาวินาศ หรือวันโลกแตก ที่จะเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.2012 หรือ พ.ศ.2555 ตามคำทำนาย ของปฏิทินชนเผ่ามายาในสหรัฐอเมริกาที่ทำปฏิทินหยุดไว้แค่ปี ค.ศ.2012  และการคาดคะเนถึงปรากฏการณ์วิปริตผิดธรรมชาติต่าง ๆ เช่น มีดาวเคราะห์อีกดวง เดินทางอยู่ในวงโครจรเดียวกันกับโลกของเรา จะโคจรมาชนกับโลกในปี ค.ศ.2012 รวมไปถึงอาจจะมีแนวโน้มการที่ขั้วแม่เหล็กของโลกจะเกิดการสลับขั้วกะทันหัน ซึ่งอาจส่งผลให้น้ำแข็งในขั้วโลกละลายจนท่วมโลกได้อีกด้วย
          ซึ่งกระแสข่าวเหล่านี้หวนกลับมาแพร่สะพัดไปทั่วโลกอีกครั้ง รวมถึงในประเทศไทย (หลังจากที่เคยเป็นที่กล่าวขวัญกันเมื่อหลายปีก่อนมาแล้ว) อาจจะมีเหตุมาจากการโปรโมทภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง "2012 วันสิ้นโลก" ของฮอลลีวู้ดลงโรงฉาย และค่ายโซนี่พิคเจอร์ส ในฐานะผู้สร้าง จัดทำเว็บไซต์ปลุกกระแสดังกล่าวขึ้นมาเพื่อหวังผลทางการตลาด จนคนในองค์กร "นาซ่า" ต้องทักท้วงว่าเป็นแผนการตลาดที่ไม่เหมาะสม ส่วนข้อเท็จจริงว่าโลกจะแตกจริงตามคำพยากรณ์หรือไม่ วันนี้กระปุกรวบรวบข้อมูลมาให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันค่ะ

           (1) ปฏิทินมายาทำนายว่า ปีค.ศ.2012 เป็นวาระสุดท้ายของโลกจริงหรือ?

          เกี่ยวกับเรื่องนี้ สมาคมดาราศาสตร์ โดย นายวิมุติ วสะหลาย ได้เขียนชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ปฏิทินมายามีหลายแบบ แบบหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับปี ค.ศ.2012 คือแบบที่เรียกกันว่า ปฏิทินรอบยาว (long count) ระบุวันด้วยชุดของตัวเลข ตัวเลขชุดนี้แทนวันที่ได้ยาวนาน 5,126 ปี เทียบกับวันที่ตามระบบปฏิทินสากลตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 3,114 ปีก่อน คริสตกาลไปจนสุดจำนวนเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ.2012 การสิ้นสุดของตัวเลขปฏิทินมายา หรือการครบจำนวนสูงสุดที่กำหนดไว้ในระบบนับวันระบบใดระบบหนึ่ง จะแสดงถึงการสิ้นสุดของโลกเชียวหรือ
          คอมพิวเตอร์สมัยก่อนก็มีระบบปฏิทินในตัวเครื่องที่แสดงวันเดือนปีได้ จนถึงสิ้น ค.ศ.2000 อันเป็นที่รู้จักกันในนามของปัญหา Y2K แต่เมื่อสิ้นสุด ค.ศ.2000 โลกก็ไม่ได้แตกตามระบบนับวันของคอมพิวเตอร์ ทำนองเดียวกัน โลกก็จะไม่แตกสลายเพราะว่าสุดตัวเลขปฏิทินมายา หลังวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ.2012 ปฏิทินมายาก็จะเริ่มนับรอบใหม่

           (2) ในปี ค.ศ.2012 จะเกิดพายุสุริยะโจมตีโลกจริงหรือ?
         นายวิมุติ ได้ให้คำตอบว่า จริง พายุสุริยะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเกือบตลอดเวลา และส่งผลกระทบถึงโลก และมีระดับความรุนแรงผันแปรเป็นคาบ คาบละประมาณ 11 ปี คาบที่ชัดเจนนี้ทำให้นักดาราศาสตร์พยากรณ์ได้ว่า ช่วงสูงสุดหรือต่ำสุดของวัฏจักรสุริยะจะเกิดขึ้นเมื่อใด ช่วงสูงสุดของวัฏจักรที่จะเกิดในครั้งถัดไปคาดว่าจะอยู่ในช่วงกลาง ค.ศ.2013 ช่วงสูงสุดของวัฏจักรสุริยะกินเวลายาวนานข้ามปี ดังนั้น แม้ช่วงสูงสุดจะอยู่ใน ค.ศ.2013 แต่พายุสุริยะก็เริ่มจะกระหน่ำโลกตั้งแต่ก่อน ค.ศ.2012 แล้ว

          แม้ช่วงปี 2013 จะอยู่ในช่วงสูงสุดของวัฏจักรสุริยะ แต่พายุสุริยะที่จะเกิดขึ้นก็ไม่ได้รุนแรงมากไปกว่าที่เคยเกิดขึ้นในรอบก่อน ซึ่งเกิดในราวปี ค.ศ.2000, ค.ศ.1989 และก่อนหน้านั้น ความจริงมีแนวโน้มว่าช่วงสูงสุดของวัฏจักรที่จะมาถึงในปี ค.ศ.2013 จะอ่อนกำลังกว่าวัฏจักรก่อนหน้านี้เสียด้วยซ้ำ

           (3) ปี 2012 สนามแม่เหล็กโลกจะเปลี่ยนตำแหน่งจริงหรือ?

         นายวิมุติ ได้ให้คำตอบว่า จริง แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่ใช่กำลังจะเกิดใน ค.ศ.2012 หากแต่เกิดขึ้นตลอดเวลา นักวิทยาศาสตร์ทราบว่า ขั้วแม่เหล็กโลกมีการเคลื่อนที่ตั้งแต่ที่ค้นพบขั้วเหนือแม่เหล็กโลกเมื่อกว่าศตวรรษก่อนแล้ว การเคลื่อนที่นี้เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ด้วยอัตราเฉลี่ยประมาณ 1 องศาต่อ 1 ล้านปีหรืออาจเร็วกว่านั้น การสำรวจในช่วงไม่กี่ปีมานี้พบว่า ขั้วเหนือแม่เหล็กโลกเคลื่อนที่เร็วขึ้น แต่ความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าโลกใกล้สลับขั้วหรือกำลังวิปริต เพราะอัตราการเคลื่อนที่มีขึ้นมีลงอยู่เสมอ

           (4) หากเกิดการสลับขั้วแม่เหล็กโลกจริง จะทำให้เกิดหายนะถึงขั้นผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากหรือไม่
         นายวิมุติ ได้อธิบายไว้ว่า เนื่องจากสนามแม่เหล็กโลกมีบทบาทสำคัญในการเป็นเกราะคุ้มกันรังสีอันตรายจากห้วงอวกาศ ดังนั้น จึงเชื่อได้ว่าหากเกิดความผิดปกติของสนามแม่เหล็กโลก เช่น สนามแม่เหล็กหายไป ซึ่งอาจเกิดขึ้นในช่วงที่มีการสลับขั้วแม่เหล็ก ก็ย่อมส่งผลต่อสรรพชีวิตบนพื้นโลกอย่างแน่นอน ผลกระทบที่ว่านี้จะรุนแรงถึงขั้นบาดเจ็บล้มตายหรือเกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่หรือไม่? ก็ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น และจากการเทียบบันทึกการสลับขั้วแม่เหล็กโลกในอดีตซึ่งเกิดแล้วหลายครั้ง เราไม่พบว่ามีความสอดคล้องกับเวลาที่เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่เคยเกิดขึ้นบนโลก นี่น่าจะพอเบาใจได้ในระดับหนึ่งว่า หากโลกสลับขั้วแม่เหล็กในช่วงนี้ก็คงไม่ถึงขั้นคอขาดบาดตาย

           (5) ดาวนิบิรุ มีจริงหรือไม่?
         นายวิมุติ ได้อธิบายไว้ว่า "นิบิรุ" เป็นชื่อเทพองค์หนึ่งของบาบิโลน ส่วนดาวนิบิรุเป็นดาวตามทฤษฎีของ "เซชาเรีย ซิตชิน" ซึ่งอ้างว่าถอดความมาจากจารึกของชาวสุเมเรียน ทฤษฎีนี้กล่าวว่าดาวนิบิรุเป็นดาวที่มีสิ่งมีชีวิตที่มีอารยธรรมอาศัยอยู่และเคยมาเยือนโลกเมื่อนานมาแล้ว แม้เรื่องดาวนิบิรุจะได้รับความนิยมในหมู่ผู้ชื่นชอบเรื่องลึกลับ เรื่องจานบิน เรื่องมนุษย์ต่างดาว แต่เนื่องจากทฤษฎีนี้มีหลักฐานอ่อนมากและตั้งอยู่บนจินตนาการมากกว่าเหตุผล จึงไม่ได้รับการยอมรับในวงกว้างในวงการวิทยาศาสตร์ รวมถึงนักวิชาการด้านสุเมเรียนด้วย

          นอกจากนี้เรายังมีข้อมูลจากนักวิชาการของไทยหลาย ๆ ท่าน มาให้ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มเติมอีกค่ะ โดยเริ่มจาก ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า

          "เหตุที่มีคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์คำทำนายโลกแตก ในปี 2012 กันมากขึ้น อาจเป็นเพราะอิทธิพลของการโฆษณาภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่กำลังฉายอยู่ทั่วโลกขณะนี้ นอกจากนั้น การที่มีโหรออกมาทำนายถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็อาจจะทำให้มีการพูดถึงกันไปใหญ่ จนกลายเป็นประเด็นที่หลายคนเริ่มตื่นตระหนก ส่วนตัวแล้วคิดว่า ถ้าจะพูดในแง่หลักฐานที่นักวิทยาศาสตร์ นักธรณีวิทยา และนักฟิสิกส์ รวมทั้งนักดาราศาสตร์ รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทั้งหมดนั้น ยังมีหลักฐานอ่อนเกินไป หรือแทบจะไม่มีอะไรที่จะมาสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวได้เลย"
          ดร.อานนท์ ยังกล่าวอีกว่า "อย่างไรก็ตาม อาจจะมีอีกหลายข้อมูลที่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้ หรือยังหาไม่เจอ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกคนจะเปิดรับฟังข้อมูล รวมทั้งเร่งศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้มากขึ้น แล้วจึงไตร่ตรองอย่างรอบคอบว่าควรจะเชื่อดีหรือไม่ แต่ทางที่ดีที่สุด ก็คือ การทำความเข้าใจกับสภาพของโลกที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ และช่วยกันทำให้ดีขึ้นจะดีกว่า"

          ดร.อานนท์ กล่าวส่งท้ายว่า "ในฐานะนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ผมว่าเราควรเปิดกว้างสำหรับการรับฟังข้อมูลจากทุกด้าน และไตร่ตรองกับข้อมูลเหล่านั้นอย่างรอบคอบ เช่น นักวิทยาศาสตร์เขาเชื่อว่า ปี 2012 โลกยังไม่แตก เพราะเขาศึกษามา มีหลักฐานที่สามารถอ้างอิงและพิสูจน์ได้ ในขณะที่โหรคนหนึ่งบอกว่า ปีดังกล่าวโลกจะแตก เพราะเขานั่งทางในเห็น เหตุผลแบบนี้ผมก็ฟัง และทุกคนก็ฟัง แต่ก็ต้องมาคิดแล้วว่าเราจะเชื่อใครดี" ดร.อานนท์ กล่าว

          ด้าน คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้แสดงทรรศนะในเรื่องเดียวกันนี้ว่า "เรื่องปี 2012 นี้เป็นสิ่งที่หลายคนกำลังกังวลอยู่ว่าในอนาคตจะมีอะไรเกิดขึ้นกับโลกของเราบ้าง เพราะปัจจุบันเรามีความรู้เกี่ยวกับโลกยังไม่มากพอ ดังนั้น สิ่งสำคัญจึงควรที่จะหาข้อมูลให้มากขึ้น โดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์จะต้องช่วยกันทำงานเพื่อจะช่วยกันเผยแพร่ความรู้ต่อประชาชนทั่วไป ให้เกิดความตระหนัก แต่ไม่ควรตระหนกจนเกินไป ที่ผ่านมา ตนได้ยินเหมือนกันว่ามีเด็ก ๆ เยาวชน แม้กระทั่งเด็กในโรงเรียนอนุบาล ประถม มาพูดถึงเรื่องน้ำท่วมโลก โลกจะแตก ทำให้ตื่นกลัวกันไปใหญ่ จึงไม่อยากให้ตื่นตระหนกกันมากไป ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาจะมีนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยในอดีต จะเคยคาดการณ์เอาไว้ว่า โลกมีโอกาสล่มสลายไปได้ แต่ก็เป็นระยะเวลาอีกนับร้อยปีข้างหน้า แต่คงจะไม่ใช่การล่มสลายไปในปีสองปีนี้แน่นอน และเป็นเพียงการทำนายเท่านั้น"

          คุณหญิงกัลยา กล่าวต่อว่า "วิธีการป้องกัน ก็คือ ทุกคนต้องช่วยกันดูแลรักษาโลก เพราะขณะที่ทั่วโลกตื่นตัวเรื่องของ "สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป" อันเกิดจากน้ำมือมนุษย์ที่ปล่อย "ก๊าซเรือนกระจก" ออกสู่ชั้นบรรยากาศของโลกจำนวนมาก ทำให้โลกร้อนขึ้น น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น พื้นที่ชายฝั่งหลายแห่งถูกน้ำท่วม เช่น ที่ จ.สมุทรปราการ เป็นตัวอย่างชัดเจน ส่วนเรื่องของระดับน้ำที่สูงขึ้น จนทำให้พื้นที่หลายแห่งของโลกจะถูกจมลงในทะเลก็อาจเป็นไปได้ เพราะในอดีตนักวิทยาศาสตร์เคยวาดภาพแผนที่โลกไว้ซึ่งก็ไม่ใช่แผนที่โลกในปัจจุบันนี้ หลายทวีปเกิดขึ้นใหม่หลายทวีปก็จมลงทะเลไปแล้ว ดังนั้นการบอกว่าโลกจะจมน้ำก็มีโอกาสเป็นไปได้ แต่ถ้าบอกว่าโลกจะแตกในปีนั้นปีนี้อย่างรวดเร็วคงจะเป็นเพียงการจินตนาการในภาพยนตร์ ไม่อยากให้ประชาชน โดยเฉพาะเยาวชนแตกตื่นกันไป"
          "ขณะนี้ในส่วนของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เอง ก็พยายามที่จะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโลกเก็บไว้เพื่อทำการศึกษา รวมทั้งเผยแพร่ความรู้ให้กับประชาชนโดยทั่วไป หากอยากไขข้อสงสัยอะไรก็สามารถติดต่อขอทราบข้อมูลได้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่มากขึ้น" คุณหญิงกัลยา กล่าว

          ขณะที่ ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) กล่าวว่า "คงไม่มีใครบอกได้ว่าโลกจะแตกจริงหรือไม่ และโลกจะแตกเมื่อไหร่ เพราะคงไม่มีใครรู้ได้ชัดเจน การที่ตอนนี้มีประเด็นทำให้มีคนออกมาพูดวิพากษ์วิจารณ์กันอาจจะเป็นเพราะคำทำนายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำนายของ "นอสตราดามุส" หรือการทำนายของคนอื่น ๆ ซึ่งอาจเป็นการจูงใจทำให้คนหันมาให้ความสนอกสนใจเรื่องนี้มากขึ้น รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติในปัจจุบันก็เป็นสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกได้"

          "อย่างไรก็ตาม ในส่วนตัวคิดว่าในระยะเวลาอันใกล้นี้เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่โลกจะแตก หรือล่มสลายไป นอกเสียจากว่าจะมี "อุกกาบาต" วิ่งเข้ามาชนโลกฉับพลัน ขณะนี้นักดาราศาสตร์ หรือนักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องก็กำลังจับตามองอยู่ และยังไม่เห็นว่าโลกเราจะอยู่ในภาวะอันตราย" ดร.พันธ์ศักดิ์ กล่าว

          "เรื่องของโลกจะแตก หรือเกิดอะไรขึ้นกับโลกนี้ ส่วนตัวผมว่าเป็นไปได้น้อยมาก หรือหากจะเกิดขึ้นจริง ๆ คิดว่าอาจจะเกิดเพียงจุดใดจุดหนึ่งของโลกเท่านั้น ไม่ได้ทำให้โลกนี้แตกสลายไปได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน อย่างน้อยเชื่อว่าคนรุ่นเรา ๆ ไม่น่าจะเห็น" ดร.พันธ์ศักดิ์ กล่าวส่งท้าย

          หวังว่าข้อมูลหลาย ๆ ประเด็นที่ได้รวบรวมมาให้อ่านกัน ก็คงจะทำให้เพื่อน ๆ ได้ความรู้เพิ่มขึ้น ที่สำคัญที่สุด ก่อนที่จะกลัวโลกดับสูญลง เรามาช่วยกันทำให้โลกนี้น่าอยู่ ด้วยการรักษาโลกใบนี้ ให้สวยงามน่าอยู่กันดีกว่าค่ะ